เปลี่ยนบรรยากาศให้แตกต่าง
สายวันหนึ่งหลังคืนฝนตก ก้าวแรกเมื่อข้ามพ้นประตูบานใหญ่ห้องชั้นบนถูกเปิดออก ก็ปรากฏภาพบ้านเรือนไม้แบบที่คุ้นตาเงียบสงบภายใต้ร่มเงาไม้ หลบซ่อนตัวอยู่ในใจกลางของเมืองหลวงเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่อดีต แยกตัวออกจากเสียงอึกทึกภายนอก บ้านของคุณดลชัย บุณยะรัตเวชหรือคุณไอ๋นั้นดูไทยอย่างแตกต่าง ไม่ใช่ศาลา หน้าบันหรือฝาปะกน แต่ประสบการณ์ทั้งหมดที่ทำให้รู้สึกได้ว่า...บ้านไทยหลังนี้รักสงบอย่างแท้จริง
ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบเดินทางจึงปรับเปลี่ยนดาดฟ้าชั้นบน ของอโศกคอร์ท อาคาร 8 ชั้นของคุณพ่อมาทำเป็นบ้านโดยมีสำนักงาน Brandscape ตั้งอยู่ชั้นล่าง จากแค่ห้องพักไม่กี่ห้อง กลับกลายเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ประกอบด้วยห้องต่างๆ โดยมีทั้งมุข ระเบียง ทางเดินทั้งภายในภายนอกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
ด้วยการมองเห็นคุณค่า ของอดีต ตึกอายุกว่า 40 ปีนี้จึงถูกเก็บไว้ไม่ถูกทุบทิ้งไป ประกอบกับความชอบในการแต่งบ้าน พื้นที่ดาดฟ้าจึงถูกปรับให้กลายมาเป็นบ้าน ยังไม่รวมถึงการนำเอาของ "เก่า" อื่นๆ มาผสมรวมกัน อย่างประตูที่นำมาจากบ้านหลังเก่า โดยคุณไอ๋เล่าที่มาว่าประตูไม้สักมีเรื่องราว มีร่องรอย มีอารมณ์ อย่างที่ประตูไม้อัดให้ไม่ได้ จะทำใหม่ออกมาก้ยังยากและมีราคาที่แพงกว่าอีกด้วย
ด้วยความที่เป็นคน ชอบสะสมแต่ละครั้งที่ไปเดินจตุจักรก็จะได้อะไรกลับมา อย่างซุ้มไม้จีนที่ได้มาคนละทีกันถูกนำมาประยุกต์ปะติดเรียงต่อเข้าด้วยกัน จับวางทีละอัน หาความสูงเพื่อหาชิ้นที่พอเหมาะพอดีตามจินตนาการ
ด้วยความที่คุณไอ๋เป็นคนชอบอยู่บ้านจึงปรับเปลี่ยนบรรยากาศแต่ละห้องให้แตกต่าง กัน โดยจะเป็นบ้านที่มีหลายบรรยากาศหลากมุมไม่เบื่อกันง่ายๆ จากเมื่อก่อนที่มีแต่พื้นที่แค่ 2 ห้องคือห้องสมุดและห้องครัว หลังต่อเติมเพิ่มเสร็จแล้วก็เริ่มปรับเปลี่ยนแก้เบื่อ อย่างเช่นห้องนอนแต่เดิมก็เปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่น เป็นห้องดูหนังฟังเพลง และวันดีคืนดีก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นห้องสมุด ด้วยความที่เป็นนักคิด นักเขียนและนักสอนจึงพบหนังสือเกี่ยวกับอาร์ต อินทีเรียร์ฯ แบรนดิ้ง แฟชั่นและดนตรีวางอยู่ทั่วไป หรือแม้แต่ห้องทานข้าวเองที่ยังใช้นั่งเล่นในบางครั้งคราว
ตัวบ้านจึงเป็นวงกลมคือเดินทะลุทะลวงต่อเนื่องกันเป็น Linear ได้รอบ ตั้งแต่ห้องโถงรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องส่วนตัวอย่างห้องน้ำ ห้องแต่งตัว ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องทานข้าว เข้าสู่ห้องนอน ห้องสมุด ห้องเปียโนและออกสู่เฉลียงนอกชาน ก่อนจะวนเข้าสู่โถงรับแขกอีกครั้ง
ทุกห้องจะเปิดช่องหน้าต่างออกรับแสงธรรมชาติที่เข้ามาโดยรอบ ทำให้ตอนกลางวันไม่ต้องเปิดไฟและเย็นสบายได้โดยไม่ต้องเปิดแอร์ เนื่องจากการเปิดช่องเปิดให้ลมพัด Flow เข้าและออกตามห้องต่างๆ ได้ ยิ่งอยู่สูงลมก็จะดีกว่าชั้นล่างลงไปถึงแม้จะอยู่กลางเมืองก็ตาม
คุณ ไอ๋เล่าว่าทุกวันตอนเช้าหลังตื่นนอน ดื่มกาแฟเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อย จนประมาณ 10 โมงจึงลงไปทำงาน ทุกๆ วันก็ธรรมดาไม่ได้หรูหราไฮโซแต่อย่างใด เนื้อแท้ก็ใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะเป็นประจำ
ห้องนอนนั้นเป็นห้อง ที่สว่างคุณไอ๋จึงชอบที่สุด ภายในห้องนอนเองก็ประกอบด้วยมุมอ่านหนังสือ มุมนั่งเล่น และรับแขกได้อีกเมื่อปรับเป็นห้องเปียโน
ทุกวันคุณไอ๋มีแค่ มีเวลาเช้าเท่านั้นที่จะได้อ่านหนังสือด้วยงานที่เยอะมากในช่วงกลางวัน โดยมุมประจำทุกเช้าก็คือเฉลียงด้านนอกและชานไม้ขาวๆ ที่เปิดออกสู่ถนนอโศก
การเป็นคนชอบใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน เลิกงานแล้วก็กลับบ้านซึ่งอยู่ในตึกเดียวกัน ทำให้ไม่อยากจะออกไปเที่ยวอีก เวลาที่มีมากขึ้นเพราะไม่ได้อยู่บนท้องถนนคุณไอ๋ก็ใช้เวลาไปกับเหล่า Scottish Terrier สุดรักที่มีถึง 5 ตัวและการปลูกต้นไม้ บ้านดาดฟ้าหลังนี้จึงดูเหมือนเป็นบ้านบนดิน นั่นเป็นเพราะรูปแบบของสเปซ การดึงเอาธรรมชาติเข้ามาผสมผสานทั้ง Outdoor และ Indoor จึงดูมีชีวิตชีวาและร่มรื่นเป็นเหมือนโอเอซิสกลางเมือง
"มีคนเขาบอก ว่า เอ๊ะ! อยู่ดาดฟ้าแต่ต้นไม้เพียบเลย ไม่น่าเชื่อว่าปลูกต้นไม้ไปได้อย่างไร ผมบอกว่าไม่ได้ เพราะผมเป็นคนที่ต้องอยู่กับต้นไม้ อยู่กับธรรมชาติ"
"ยังมีธรรมะอีก ก็ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม ยิ่งผ่านอะไรมาเยอะ ธรรมะน่ะดีที่สุดช่วยทำให้เรามีสติ ช่วยทำให้เราปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องถือให้มันหนักอก เราต้องมีวิธีรับกับมันอย่างมีสติ ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหา"
ที่มาจาก : home.co.th
ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบเดินทางจึงปรับเปลี่ยนดาดฟ้าชั้นบน ของอโศกคอร์ท อาคาร 8 ชั้นของคุณพ่อมาทำเป็นบ้านโดยมีสำนักงาน Brandscape ตั้งอยู่ชั้นล่าง จากแค่ห้องพักไม่กี่ห้อง กลับกลายเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ประกอบด้วยห้องต่างๆ โดยมีทั้งมุข ระเบียง ทางเดินทั้งภายในภายนอกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
ด้วยการมองเห็นคุณค่า ของอดีต ตึกอายุกว่า 40 ปีนี้จึงถูกเก็บไว้ไม่ถูกทุบทิ้งไป ประกอบกับความชอบในการแต่งบ้าน พื้นที่ดาดฟ้าจึงถูกปรับให้กลายมาเป็นบ้าน ยังไม่รวมถึงการนำเอาของ "เก่า" อื่นๆ มาผสมรวมกัน อย่างประตูที่นำมาจากบ้านหลังเก่า โดยคุณไอ๋เล่าที่มาว่าประตูไม้สักมีเรื่องราว มีร่องรอย มีอารมณ์ อย่างที่ประตูไม้อัดให้ไม่ได้ จะทำใหม่ออกมาก้ยังยากและมีราคาที่แพงกว่าอีกด้วย
ด้วยความที่เป็นคน ชอบสะสมแต่ละครั้งที่ไปเดินจตุจักรก็จะได้อะไรกลับมา อย่างซุ้มไม้จีนที่ได้มาคนละทีกันถูกนำมาประยุกต์ปะติดเรียงต่อเข้าด้วยกัน จับวางทีละอัน หาความสูงเพื่อหาชิ้นที่พอเหมาะพอดีตามจินตนาการ
ด้วยความที่คุณไอ๋เป็นคนชอบอยู่บ้านจึงปรับเปลี่ยนบรรยากาศแต่ละห้องให้แตกต่าง กัน โดยจะเป็นบ้านที่มีหลายบรรยากาศหลากมุมไม่เบื่อกันง่ายๆ จากเมื่อก่อนที่มีแต่พื้นที่แค่ 2 ห้องคือห้องสมุดและห้องครัว หลังต่อเติมเพิ่มเสร็จแล้วก็เริ่มปรับเปลี่ยนแก้เบื่อ อย่างเช่นห้องนอนแต่เดิมก็เปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่น เป็นห้องดูหนังฟังเพลง และวันดีคืนดีก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นห้องสมุด ด้วยความที่เป็นนักคิด นักเขียนและนักสอนจึงพบหนังสือเกี่ยวกับอาร์ต อินทีเรียร์ฯ แบรนดิ้ง แฟชั่นและดนตรีวางอยู่ทั่วไป หรือแม้แต่ห้องทานข้าวเองที่ยังใช้นั่งเล่นในบางครั้งคราว
ตัวบ้านจึงเป็นวงกลมคือเดินทะลุทะลวงต่อเนื่องกันเป็น Linear ได้รอบ ตั้งแต่ห้องโถงรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องส่วนตัวอย่างห้องน้ำ ห้องแต่งตัว ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องทานข้าว เข้าสู่ห้องนอน ห้องสมุด ห้องเปียโนและออกสู่เฉลียงนอกชาน ก่อนจะวนเข้าสู่โถงรับแขกอีกครั้ง
ทุกห้องจะเปิดช่องหน้าต่างออกรับแสงธรรมชาติที่เข้ามาโดยรอบ ทำให้ตอนกลางวันไม่ต้องเปิดไฟและเย็นสบายได้โดยไม่ต้องเปิดแอร์ เนื่องจากการเปิดช่องเปิดให้ลมพัด Flow เข้าและออกตามห้องต่างๆ ได้ ยิ่งอยู่สูงลมก็จะดีกว่าชั้นล่างลงไปถึงแม้จะอยู่กลางเมืองก็ตาม
คุณ ไอ๋เล่าว่าทุกวันตอนเช้าหลังตื่นนอน ดื่มกาแฟเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อย จนประมาณ 10 โมงจึงลงไปทำงาน ทุกๆ วันก็ธรรมดาไม่ได้หรูหราไฮโซแต่อย่างใด เนื้อแท้ก็ใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะเป็นประจำ
ห้องนอนนั้นเป็นห้อง ที่สว่างคุณไอ๋จึงชอบที่สุด ภายในห้องนอนเองก็ประกอบด้วยมุมอ่านหนังสือ มุมนั่งเล่น และรับแขกได้อีกเมื่อปรับเป็นห้องเปียโน
ทุกวันคุณไอ๋มีแค่ มีเวลาเช้าเท่านั้นที่จะได้อ่านหนังสือด้วยงานที่เยอะมากในช่วงกลางวัน โดยมุมประจำทุกเช้าก็คือเฉลียงด้านนอกและชานไม้ขาวๆ ที่เปิดออกสู่ถนนอโศก
การเป็นคนชอบใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน เลิกงานแล้วก็กลับบ้านซึ่งอยู่ในตึกเดียวกัน ทำให้ไม่อยากจะออกไปเที่ยวอีก เวลาที่มีมากขึ้นเพราะไม่ได้อยู่บนท้องถนนคุณไอ๋ก็ใช้เวลาไปกับเหล่า Scottish Terrier สุดรักที่มีถึง 5 ตัวและการปลูกต้นไม้ บ้านดาดฟ้าหลังนี้จึงดูเหมือนเป็นบ้านบนดิน นั่นเป็นเพราะรูปแบบของสเปซ การดึงเอาธรรมชาติเข้ามาผสมผสานทั้ง Outdoor และ Indoor จึงดูมีชีวิตชีวาและร่มรื่นเป็นเหมือนโอเอซิสกลางเมือง
"มีคนเขาบอก ว่า เอ๊ะ! อยู่ดาดฟ้าแต่ต้นไม้เพียบเลย ไม่น่าเชื่อว่าปลูกต้นไม้ไปได้อย่างไร ผมบอกว่าไม่ได้ เพราะผมเป็นคนที่ต้องอยู่กับต้นไม้ อยู่กับธรรมชาติ"
"ยังมีธรรมะอีก ก็ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม ยิ่งผ่านอะไรมาเยอะ ธรรมะน่ะดีที่สุดช่วยทำให้เรามีสติ ช่วยทำให้เราปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องถือให้มันหนักอก เราต้องมีวิธีรับกับมันอย่างมีสติ ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหา"
ที่มาจาก : home.co.th